เรามาต่อกันให้จบกับเรื่องแบริ่งพัดลมกัน
สำหรับแบริ่งแบบปลอก (Sleeve Bearing) จะไม่ขอพูดเพิ่มเติมนะครับ เพราะโครงสร้างส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดดูจากแบริ่งแบบไรเฟิล (Rifle Bearings) ในบทความที่ให้ข้อมูลไว้ในตอนที่แล้วครับ
ตามรูปที่แนบมานี้จะแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างส่วนประกอบของทั้งคู่ ทางซ้ายคือ แบริ่งแบบลูกปืน ทางขวาคือแบริ่งแบบของเหลว ส่วนประกอบอื่นจะยังเหมือนกัน
เราจะเห็นแกนพัดลม (Steel Shaft) ที่ต่อกับใบพัด (Impeller) ร้อยทะลุเข้ามาในแบริ่งของทั้งคู่ โดยแบริ่งแบบลูกปืนจะมีตลับลูกปืนจำนวน 2 ชุดรับไว้กับแกนพัดลมนี้ทั้งด้านโคนและด้านปลาย ส่วนแบริ่งแบบของเหลวจะใช้เป็นแคปซูลชุดเดียว โดยจะมีกระเปาะเก็บของเหลวอยู่ด้านท้ายซึ่งก็คือน้ำมันล่อลื่นซึ่งน้ำมันส่วนนี้จะไหลไปหล่อเลี้ยงตลอดแนวแกนพัดลมแล้วไหลกลับ วนไปมาในระบบ
จุดเด่นของแบริ่งแบบลูกปืนคือเรื่องของความทนทานในการใช้งาน โดยเฉพาะการทำงานต่อเนื่องในที่มีอุณหภูมิสูง เราจึงเห็นพัดลมกลุ่มนี้ถูกใช้ในงานอุณตสาหกรรม หรืองาน Data Center ที่ต้องการรักษาเสถียรภาพในการใช้งานสูง ซึ่งเสียงจะดังกว่าแบริ่งแบบของเหลวอยู่บ้าง ซึ่งเทคโนโลยีการผลิตในปัจจุบันนี้ทำให้เราเห็นพัดลมในกลุ่มนี้ให้เสียงรบกวน (Noise Level) เกือบเทียบเท่าพัดลมในกลุ่มแบริ่งแบบของเหลวกันแล้วและนำมาใช้ในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอย่างแพร่หลาย
ส่วนจุดเด่นของแบริ่งแบบของเหลว คือเรื่องความเงียบในการใช้งาน ซึ่งเราจะเห็นว่าแบริ่งกลุ่มนี้จะติดตั้งมาใน Notebook คอมพิวเตอร์, เครื่องเกมส์คอนโซล, การ์ดจอแสดงผล รวมถึงกลุ่มพัดลมในคอมพิวเตอร์ Desktop ถึงแม้ว่าความทนทานจะไม่เท่าแบริ่งแบบลูกปืน แต่โดยทั่วไปแล้วที่การใช้งานในอุณหภูมิห้องจะมี Mean Time To Failure (MTTF) ใกล้เคียงกับแบริ่งแบบลูกปืน
สรุปคือเราต้องเป็นคนเลือกพัดลมใช้งานเองว่าแบบไหนรองรับการใช้งานที่ตรงกับไลฟ์สไตล์เรา เช่น โฮมเอนเตอร์เทนเม้นท์ PC ที่ตั้งในห้องนอนหรือห้องนั่งเล่น เราก็อาจเลือกแบริ่งแบบของเหลวที่รอบพัดลมไม่สูงเพื่อให้ให้มีเสียงรบกวนน้อยที่สุด หรือถ้าเราหาพัดลมเพื่อใช้ระบายความร้อนในตู้แร็คก็เลือกที่เป็นแบริ่งแบบลูกปืนรอบสูง เพราะเราเน้นที่การรักษาเสถียรภาพการใช้งานเป็นหลักและเสียงรบกวนที่มีออกมาบ้างก็ถือว่ารับได้
ดูพัดลมในแบบของคุณตาม link